ทำความเข้าใจกับ Machine Learning ด้วย Python

Machine Learning (ML) คือ การสร้างระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถเรียนรู้และปรับปรุงผลการทำงานของมันด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล โดยไม่ต้องระบุโดยตรงว่าควรทำอะไร โดยเป็นกระบวนการที่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อสร้างโมเดลและอัลกอริทึมที่สามารถใช้งานได้จริง โดยใช้ข้อมูลสำหรับการเรียนรู้และปรับปรุงโมเดลตามแต่ละรอบ เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้และปรับปรุงผลลัพธ์ได้อย่างอัตโนมัติ สิ่งที่ ML สามารถทำได้รวมถึงการจำแนกและพยากรณ์, การค้นหารูปแบบ และการจำแนกข้อมูล เช่น การจำแนกภาพ, การจำแนกเสียง, การจำแนกภาษาธรรมชาติ, และอื่นๆ นอกจากนี้ ML ยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการพัฒนา AI และ Robotics ด้วย

Machine Learning เป็นวิธีการสร้างโมเดล (model) ที่สามารถเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลเพื่อทำงานได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องมีการโปรแกรมแบบแผน และมีความสามารถในการปรับปรุงเองในกระบวนการเรียนรู้ เช่น ปรับแต่งพารามิเตอร์ให้มีค่าที่ดีที่สุดสำหรับงานที่กำลังทำ, หรือปรับโมเดลเพิ่มเติมเพื่อให้มีประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น เป็นต้น

Machine Learning นั้นสามารถใช้ในหลายงานที่ต้องการการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ การจำแนกประเภท (classification), การหาค่าเฉลี่ย (regression), การแนะนำสินค้า (recommendation), การจำแนกภาพ (image classification), การตรวจจับวัตถุ (object detection), การแปลภาษา (language translation), การตอบคำถาม (question answering), การจำแนกความคล้ายคลึง (similarity matching) เป็นต้น

นอกจากนี้ Machine Learning ยังเป็นที่สนใจอย่างมากในวงการธุรกิจ และมีการนำไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (customer analytics), การตรวจสอบความปลอดภัย (security analytics), การคัดแยกอัตราความสำเร็จ (success rate analytics), การจัดการทรัพยากร (resource management) เป็นต้น

Machine Learning (ML) เป็นศาสตร์ที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine) เพื่อสร้างโมเดล (Model) ที่สามารถจำแนกและทำนายข้อมูลได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานของตัวเองได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสร้างโมเดลที่มีความแม่นยำและสามารถใช้งานได้จริงในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การจำแนกภาพ, การระบุวัตถุ, การทำนายผลการลงทุน, การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน เป็นต้น

Machine Learning ใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อประมวลผลข้อมูล โดยใช้วิธีการเรียนรู้ที่แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก คือ Supervised Learning, Unsupervised Learning และ Reinforcement Learning ซึ่งแต่ละประเภทจะมีวัตถุประสงค์และขั้นตอนการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยมักนิยมใช้ Python เป็นภาษาโปรแกรมที่ส่วนใหญ่ใช้ในการพัฒนา Machine Learning Model และมี Library ที่มีความสามารถในการทำ Machine Learning หลากหลาย

Python เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่นิยมใช้ในการพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, โปรแกรมเชิงกราฟิก, หรือแม้กระทั่งโปรแกรมทางด้าน Machine Learning ก็เช่นกัน โดย Python มีความสะดวกในการใช้งานสูง มีชุดคำสั่งและไลบรารี่ (library) ที่มีความหลากหลาย และเป็นที่นิยมในการใช้งานโปรแกรม Machine Learning ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

โดยสามารถนำ Python มาใช้ในการพัฒนาโปรแกรม Machine Learning ได้หลายแบบ เช่นการสร้างโมเดลการเรียนรู้เชิงสังคม, การประมวลผลภาพ, การทำนายผลในการลงทุน หรือการประมวลผลข้อมูลในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

นอกจากนี้ยังมีไลบรารี่ต่าง ๆ ที่สามารถใช้งานได้ดีกับ Python เพื่อการพัฒนาโปรแกรม Machine Learning อย่างได้รับความนิยมที่ช่วยให้การพัฒนาโปรแกรม Machine Learning ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น การใช้ Python ในการพัฒนา Machine Learning สามารถทำได้ด้วยการใช้ library ที่เหมาะสม  ซึ่งช่วยให้เราสามารถทำงานต่างๆ ในการสร้างและพัฒนาโมเดล Machine Learning ได้ง่ายขึ้น และสามารถทำงานกับข้อมูลต่างๆ ได้เช่นเดียวกับการพัฒนาโปรแกรมอื่นๆ ด้วย Python อีกด้วย

เราสามารถใช้ Python ในการทำ Machine Learning ได้หลากหลายวิธี เช่น การทำ Classification, Regression, Clustering, Dimensionality Reduction, Neural Networks, Reinforcement Learning, และอื่นๆ โดยเราจะเลือกวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาของเรา โดยต้องพิจารณาเรื่องของข้อมูลที่เรามี, ปัญหาที่ต้องการแก้ไข, และความต้องการของผู้ใช้งาน

ในการทำ Machine Learning ด้วย Python เราจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวแปร, ตัวดำเนินการ, ฟังก์ชัน, การทำงานกับข้อมูล, การทำงานกับโมเดล Machine Learning, การทดสอบและประเมินโมเดล และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ เรายังต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับคอนเซปต์พื้นฐานของ Machine Learning เช่น การสร้างโมเดล, การเรียนรู้, การทำนาย, การวัดผล, และอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรู้เพื่อที่จะสามารถใช้ Python ในการทำ Machine Learning ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

Python มีหลาย Library ที่มีความนิยมนำมาใช้พัฒนา Machine Learning ได้ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นหลายๆ กลุ่ม ได้แก่

  1. Scikit-learn (sklearn) – เป็น Library สำหรับ Machine Learning แบบ Open source ที่มีเครื่องมือให้ใช้มากมาย เช่น การแบ่งข้อมูล, การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (data validation), การเลือก Model และการ Train Model ต่างๆ
  2. TensorFlow – เป็น Library สำหรับ Deep Learning ที่พัฒนาโดย Google มีเครื่องมือที่ช่วยให้ง่ายต่อการพัฒนาและ Train Model สำหรับงาน Deep Learning เช่น Convolutional Neural Networks (CNN) และ Recurrent Neural Networks (RNN)
  3. Keras – เป็น Library สำหรับ Deep Learning ที่มีพื้นฐานมาจาก TensorFlow มีเครื่องมือสำหรับ Train และ Evaluate Model ได้อย่างง่ายดาย สามารถสร้าง Model ต่างๆ ได้ด้วยการเชื่อมต่อ Layers กัน
  4. PyTorch – เป็น Library สำหรับ Deep Learning ที่พัฒนาโดย Facebook AI Research (FAIR) มีการใช้งานที่สะดวกและเข้าใจง่าย นอกจากนี้ยังมี API ที่ช่วยให้การ Train และ Evaluate Model มีความสะดวกสบายมากขึ้น
  5. Pandas – เป็น Library สำหรับการจัดการข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ช่วยให้ง่ายต่อการนำข้อมูลเข้าไปใน Model ในการ Train และ Evaluate Model
  6. Numpy – เป็น Library สำหรับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ช่วยให้การคำนวณของ Model มีความเร็วมากขึ้น
  7. Matplotlib – เป็น Library สำหรับ Visualization ที่ช่วยให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ข้อมูล และทำให้เราเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น
  8. SciPy: เป็น library ที่มีความสำคัญสำหรับคณิตศาสตร์ โดยมีฟังก์ชันหลายอย่างที่นิยมใช้กัน เช่น optimize, linear algebra, interpolation, signal processing, และอื่นๆ

การทำ Machine Learning ด้วย Python มีหลายเทคนิคและขั้นตอนต่าง ๆ ที่นำมาใช้ โดยสามารถจำแนกได้เป็น 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

  1. Data Preprocessing
    ขั้นตอนแรกที่ต้องทำคือ Data Preprocessing ซึ่งมีการจัดการกับข้อมูล และเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับการประมวลผลต่อไป ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และการแก้ไขข้อมูลที่หายไป หรือ ค่าพิเศษ การทำ scaling หรือ normalization และการแปลงข้อมูลเป็นรูปแบบที่เหมาะสม เป็นต้น
  2. Model Selection and Training
    การเลือกและสร้างโมเดล Machine Learning โดยใช้ไลบรารี่ต่าง ๆ เช่น scikit-learn หรือ TensorFlow โดยปกติแล้ว จะแบ่งข้อมูลออกเป็น 2 ชุดคือ training set และ testing set เพื่อใช้ในการฝึกโมเดลและวัดผลการทำนาย ในขั้นตอนนี้ จะต้องเลือกและกำหนดพารามิเตอร์ให้เหมาะสมกับโมเดลที่เลือก เช่น learning rate, regularization parameter, number of hidden units เป็นต้น
  3. Model Tuning
    หลังจากได้โมเดล Machine Learning แล้ว ต่อไปคือการประเมินประสิทธิภาพของโมเดลด้วยชุดข้อมูลที่ไม่เคยใช้ในการฝึก ซึ่งจะช่วยในการปรับปรุงโมเดลให้ดีขึ้น การปรับปรุงโมเดลสามารถทำได้หลายวิธี เช่น เปลี่ยนพารามิเตอร์ เปลี่ยนโมเดล เป็นต้น
  4. Model Evaluation
    โดยใช้ข้อมูลที่ไม่เคยใช้ในการฝึกโมเดล (Test Data) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของโมเดลว่าสามารถทำงานได้ดีพอหรือไม่ โดยจะใช้ metrics ต่าง ๆ เช่น accuracy, precision, recall, f1-score เป็นต้นในการวัดผลการทำงานของโมเดล โดยโมเดลที่มีผลลัพธ์ที่ดีบน Test Data จะถือว่าเป็นโมเดลที่มีประสิทธิภาพดีในการทำนาย (Prediction) การประเมินและวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการสร้างแบบจำลอง ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้ชุดข้อมูลที่เป็นข้อมูลทดสอบ (test set) ซึ่งไม่ได้ใช้ในการสร้างแบบจำลอง โดยใช้เทคนิคหลายวิธี เช่น การคำนวณค่าความแม่นยำ (accuracy) หรือค่าของ metrics อื่น ๆ เพื่อวัดประสิทธิภาพของแบบจำลอง การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้เราปรับปรุงและปรับแต่งแบบจำลองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการใช้งานจริง